คมนาคมดันแผนพัฒนาราชบุรี-นครปฐม เป็นศูนย์กองเก็บสินค้าขนาดใหญ่เชื่อมโยงมอเตอร์เวย์และรถไฟทางคู่ป้อนสู่ท่าเรือปากบารา หวังเชื่อมถึงแหล่งผลิตสินค้าจากเหนือ-อีสานจดใต้ป้อนท่าเรือปากบารา-สงขลา 2 ยันเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนและบริหารจัดการ "สุพจน์" เผยพร้อมพัฒนา CY รองรับสินค้าที่มาจากพื้นที่ต่างๆ ล่าสุดจี้สนข.-ร.ฟ.ท.ปรับแก้แบบโครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทางให้เร่งเสนอคลังชี้แหล่งทุนดำเนินโครงการ
นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า กระทรวงคมนาคมมีแผนเร่งผลักดันโครงการพัฒนาศูนย์กองเก็บสินค้าขนาดใหญ่ที่ราชบุรี-นครปฐม เพื่อป้อนสินค้าสู่ท่าเรือปากบารา-สงขลา 2 ในพื้นที่จังหวัดสตูล-สงขลา ซึ่งเน้นไปในเรื่องการขนส่งสินค้าป้อนสู่ทะเลให้เกิดการเชื่อมโยง 2 ฝั่งทะเลด้วยเส้นทางรถไฟ ขณะนี้ยังได้เร่งผลักดันแผนพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงจากพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงแหล่งผลิตสินค้าหลักๆ ให้ป้อนสู่ท่าเรือปากบาราและสงขลา 2 ได้อย่างสะดวก เนื่องจากจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
"ปากบาราเป็นแผนการพัฒนาระดับประเทศ มีผลดีต่อสภาพเศรษฐกิจ ส่วนรวมของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆได้ โดยมีทั้งแผนการเร่งผลักดันโครงการถนนและเส้นทางรถไฟที่มีผลการศึกษาเบื้องต้นรองรับไว้แล้ว เช่น โครงการทางพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ที่ขึ้นตรงกับกรมทางหลวง เส้นทางจากนครราชสีมา-บางปะอิน เส้นทางนครสวรรค์-บางปะอิน เส้นทางบางปะอิน-บางใหญ่-ราชบุรี(บ้านโป่ง)มุ่งสู่ภาคใต้ นอกจากนั้นยังเร่งโครงข่ายรถไฟทางคู่จากเชียงแสนและเชียงของ จังหวัดเชียงรายที่เชื่อมจากจีนตอนใต้ ผ่านแนวทางคู่นครสวรรค์-ลพบุรีป้อนสู่เส้นทางนครปฐม-หนองปลาดุก-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพรเชื่อมต่อไปยังสถานีหาดใหญ่ ซึ่งขณะนี้บางช่วงใกล้สรุปผลการศึกษา และส่วนหนึ่งอยู่ในระหว่างการขออนุมัติงบประมาณเพื่อว่าจ้างศึกษา ส่วนมอเตอร์เวย์เส้นทางที่พร้อมเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนมีอยู่จำนวน 2 เส้นทาง คือ บางปะอิน-นครราชสีมาและบางใหญ่-บ้านโป่งโดย พร้อมจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาอนุมัติได้แล้ว"
นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า มีแผนพัฒนาพื้นที่ราชบุรีและนครปฐมให้เป็นศูนย์กองถ่ายสินค้าขนาดใหญ่รองรับแผนการพัฒนาของกระทรวงคมนาคมที่จะเร่งผลักดันโครงการก่อสร้างท่าเรือปากบาราที่ภาคใต้ ซึ่งอยู่ในดินแดนไทย มากกว่าจะเน้นไปที่โครงการทะวายในประเทศพม่า ที่ยังไม่มีความชัดเจนในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะความคุ้มทุนที่ประเทศไทยจะได้รับ แต่ปัจจุบันการพัฒนาโครงข่ายในพื้นที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งถนนในความดูแลของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท
"พื้นที่บ้านโป่ง ราชบุรี และนครปฐม เหมาะสมที่จะพัฒนาให้เป็นคอนเทนเนอร์ยาร์ดหรือ CY เพื่อกองถ่ายสินค้าก่อนป้อนสู่ท่าเรือหลักทางรถไฟและรถยนต์ต่อไป ลงทุนไม่มากเพราะเป็นพื้นที่ของการรถไฟฯและเกิดการเชื่อมโยงได้ดีกว่า สิ่งสำคัญยังสามารถรองรับการขนส่งสินค้าจากทะวายและพื้นที่ต่าง ๆ ได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ที่จะสนับสนุนโครงการแลนด์บริดจ์และปากบาราคาดว่าจะมีปริมาณตู้คอนเทนเนอร์เข้ามาใช้ท่าเรือที่จังหวัดสตูลและจังหวัดสงขลาในปี 2558 จำนวน 468,500 ทีอียู โดยจะมีประมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ผ่านท่าเพิ่มขึ้น 1,540,500 ทีอียู ในปี 2578 โดยการเปิดใช้ท่าเรือในปีแรกคาดว่าจะมีปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ผ่านจำนวน 400,000-450,000 ทีอียู จึงสามารถดึงดูดให้สายการเดินเรือสำคัญๆในภูมิภาคนำเรือเข้ามาเทียบท่าได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น"
ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 ได้สั่งการให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)ที่ได้รับงบเพื่อศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรถไฟทางคู่ 2 เส้นทาง คือ เส้นทางถนนจิระ-ขอนแก่นและเส้นทางประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร คาดจะเปิดขายซองประกวดราคาก่อสร้างได้ปลายปี 2554 นี้ และการรถไฟแห่งประเทศไทย อยู่ระหว่างการขออนุมัติงบประมาณ 355 ล้านบาทในปี 2555 เพื่อศึกษาใน 3 เส้นทางที่เหลือ คือ 1.ลพบุรี-ปากน้ำโพ 2.มาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ และ 3.นครปฐม-หนองปลาดุกไปปรับแก้แบบให้สอดคล้องกับแผนการพัฒนาโดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงที่จะผ่านในเส้นทางร่วมกันด้วยหากเส้นทางไหนมีความพร้อมให้รีบนำเสนอกระทรวงการคลังชี้แหล่งทุนและนำเสนอครม.อนุมัติสร้างต่อไป
โดยก่อนหน้านี้คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2552 เห็นชอบแผนพัฒนารถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง ระยะเร่งด่วน (2553-2557) วงเงิน 66,100 ล้านบาท ระยะทาง 767 กิโลเมตร ประกอบด้วย 1.ลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 118 กิโลเมตร วงเงิน 7,860 ล้านบาท 2.มาบกะเบา -ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กิโลเมตร วงเงิน 11,640 ล้านบาท 3.ชุมทางถนนจิระ- ขอนแก่น ระยะทาง 185กิโลเมตร วงเงิน 13,000 ล้านบาท 4.นครปฐม-หนองปลาดุก ระยะทาง 165 กิโลเมตร วงเงิน 16,600 ล้านบาท และ 5. ประจวบศีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กิโลเมตร วงเงิน 17,000 ล้านบาท
สำหรับโครงการท่าเรือปากบาราข้อมูลจากผลการศึกษาเบื้องต้นของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)พบว่า ผลการศึกษาชี้ชัดเรื่องการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ของผู้ที่มีความเชี่ยวชาญพบว่าอยู่ในสัดส่วนที่ลงทุนได้ นั่นคือ มีอัตราผลตอบแทน EIRR ประมาณร้อยละ 17.36 ในขณะที่มูลค่าปัจจุบัน คิด ณ อัตราร้อยละ 8 เท่ากับ 28,261 ล้านบาท และร้อยละ 12 เท่ากับ 9,278 ล้านบาท โดยกรอบแนวคิดมี 4 ด้าน คือ การวิเคราะห์ต้นทุน ที่จำแนกเป็นค่าลงทุนและค่าบำรุงรักษา การวิเคราะห์ผลประโยชน์ของโครงการ การวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ และการวิเคราะห์ความอ่อนไหวของโครงการซึ่งพบว่าค่าลงทุนด้านการเงิน มีมูลค่ารวม 37,479 ล้านบาท ในทางเศรษฐศาสตร์เท่ากับ 31,260 ล้านบาท อายุการดำเนินโครงการ 30 ปี
ส่วนรายได้ประมาณการจัดเก็บค่าธรรมเนียมตลอด 30 ปี ประมาณ 43,107 ล้านบาท จะช่วยการประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าในภาคใต้ได้ประมาณ 134 ล้านบาทในปีที่ 1 และเพิ่มเป็น 3,269 ล้านบาท ในปีที่ 30 ของการดำเนินโครงการ โดยโครงการปากบาราเป็นคนละโครงการสำหรับการเป็นประตูเศรษฐกิจของไทยกับทะวายที่รัฐบาลยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องการมีส่วนขับเคลื่อนในพื้นที่ภาคตะวันตกแถบกาญจนบุรี และราชบุรีที่ไม่ต้องไปพึ่งพาคนอื่นในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย สิ่งที่น่าจับตามองคือ เรื่องการเพิ่มมูลค่าของที่ดินซึ่งจากการวิเคราะห์(ปี 2549) พบว่าราคาที่ดินจะเพิ่มขึ้นจากราคาประเมิน 380,000 บาทต่อไร่อย่างแน่นอนโดยจะมีมูลค่าที่ดินเพิ่มขึ้นภายหลังมีท่าเรือแล้วประมาณ 104 ล้านบาท ในปีที่ 1 และ 3,165 ล้านบาทในปีที่ 30 ซึ่งเป็นการส่งผลดีต่อหลาย ๆ ส่วนในพื้นที่อย่างเห็นได้ชัด ไม่นับเรื่องการจ้างแรงงานในภาคใต้ที่ปัจจุบันว่างงานอยู่กว่า 800,000 คนจะได้มีงานทำในโครงการนี้
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,670 15-17 กันยายน พ.ศ. 2554
__________________
https://www.facebook.com/groups/1892...group_activity
ที่มา ห้องเชียงราย
โครงการอะไรก้ตามที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคม ขนส่งส่วนใหญ่บ้านเราก็พลอยได้รับอานิสงฆ์ไปด้วยนะครับ เนื่องด้วยทำเลของตัวจังหวัดนั้นเอง