เปิดพิมพ์เขียวท่าเรือทวาย เมกะโปรเจ็กต์ 5.8 หมื่นล้านเหรียญ
วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4283 ประชาชาติธุรกิจ
นับจากปลายปีที่ผ่านมาโครงการ "ท่าเรือน้ำลึกทวาย" สหภาพพม่า ที่ "อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล๊อปเมนต์" บริษัทมหาชนยักษ์ใหญ่วงการรับเหมาก่อสร้างได้รับสัมปทานที่ดินนาน 75 ปี กลายเป็นเมกะโปรเจ็กต์ที่ถูกจับตามองมากที่สุดแห่งหนึ่ง ด้วยขนาดโครงการครอบคลุมพื้นที่ 250 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 2 แสนไร่ มีเม็ดเงินที่จะต้องเข้าไปลงทุนหลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ว่ากันว่าหากท่าเรือทวายเริ่มเปิดใช้จะกลายเป็นประตูเชื่อมเศรษฐกิจระหว่างโลกฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก ซึ่งประเทศไทยก็จะได้รับอานิสงส์จากโครงการนี้ด้วย โดยหนังสือพิมพ์ Newyork Time เคยระบุว่า...โครงการท่าเรือน้ำลึกทวายจะเป็นโปรเจ็กต์ที่เปลี่ยนแปลงสหภาพพม่า
ก่อนหน้านี้อิตาเลี่ยนไทยฯ ในฐานะผู้รับสัมปทาน ได้จัดตั้งบริษัทลูก (จดทะเบียนในสหภาพพม่า) ภายใต้ชื่อ "ทวาย ดีเวลอปเม้นท์" มีทุนจดทะเบียนเบื้องต้น 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ลักษณะเป็นโฮลดิ้งคอมปะนีที่มีอิตาเลี่ยนไทยฯถือ หุ้น 100% เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายทั้งหมด
พร้อมทั้งมอบหมายให้ "สมเจตน์ ทิณพงษ์" อดีตผู้ว่าการ กนอ. (การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) ดีกรีด็อกเตอร์ ที่ผ่านประสบการณ์พัฒนาโครงการนิคมอุตฯ อีสเทิร์นซีบอร์ดมาแล้ว เข้ามานั่งเก้าอี้ประธานกรรมการบริหารโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย เพื่อช่วยสานฝันของ "เปรมชัย กรรณสูต" นายใหญ่อิตาเลี่ยนไทยให้เป็นจริง
แล้วกระบวนการตกผลึกเป็นโครงการท่าเรือทวายมาอย่างไร
ชูทวาย "ฮับภูมิภาคอาเซียน"
ในแง่ทำเลที่ตั้ง อิตาเลี่ยนไทยมั่นใจว่า "เมืองทวาย" น่าจะมีความสามารถเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอาเซียนได้ เพราะปัจจุบันแลนด์สเคปทางเศรษฐศาสตร์ของโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว อาเซียนกำลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจ ส่วนประเทศจีนขณะนี้มีการสร้างนิคมอุตฯ 30 แห่ง จนเป็นฐานเศรษฐกิจ แห่งที่ 2 ของโลก มี FDI (Foreign direct investment) สูงสุดในโลก คือประมาณกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับสหภาพพม่าเป็นประเทศกำลังพัฒนาและภูมิภาคนี้ยังคอนซูม (มีการบริโภค) จึงสามารถเป็นจุดยุทธศาสตร์ แต่เรื่องโลจิสติกส์หรือการขนส่งสินค้าต้องดี ทั้งหมดนำมาสู่การทำแผนโครงการท่าเรือทวายที่ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 4 อย่างคือ 1) ท่าเรือน้ำลึก 2) คอมเมอร์เชียล และเรสซิเดนเชียลแอเรีย (การค้าขายและที่อยู่อาศัย) 3) อินดัสเทรียลเอสเตท (นิคมอุตสาหกรรม) และ 4) มีทรานส์บอร์เดอร์คอร์ริดอร์ (เส้นทางขนส่งชายแดน)
สำหรับการพัฒนา "ท่าเรือน้ำลึก" จะต้องมี 3 อย่างคือ 1) น้ำต้องลึก 2) เวลาขึ้นต้องมีเกาะบัง 3) ด้านหน้าและหลังท่าเรือต้องมีพื้นที่ราบให้พัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรมได้ โดยจะก่อสร้างเป็นท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ ขนสินค้าอย่างแร่เหล็ก ถ่านหิน สินค้าเกษตรต่างๆ ที่บรรจุในตู้คอนเทนเนอร์ หรือเป็นสินค้าของเหลวอย่างจำพวกสารเคมีหรือน้ำมัน
จากจุดนี้การเดินทางไปมาระหว่างยุโรปจะไม่ต้องไปอ้อมประเทศอินโดนีเซีย ช่วยลดระยะเวลาเดินทางเหลือ 5 วัน ภายในจะมีท่าเรือ 5 ท่า รองรับเรือขนาดใหญ่สูงสุดได้พร้อมกัน 5 ลำ มีอู่ต่อเรือขนาดใหญ่ 4 อู่ ต่อเรือที่มีความจุได้ถึง 4 แสนตัน ดังนั้นต่อไปก็ซื้อน้ำมันก็สามารถมารับได้ที่นี่และ ปั๊มผ่านท่อมาถึงอีสเทิร์นซีบอร์ด ไม่ต้องอ้อมไปสิงคโปร์ หรืออินโดนีเซีย
จัดโซนนิ่งอุตฯ ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ
"นิคมอุตสาหกรรม" จะแบ่งโซนนิ่งเป็น 3 ส่วนคือ 1) อุตสาหกรรมต้นน้ำหรืออุตฯ หนัก ได้แก่ โรงไฟฟ้า โรงเหล็ก โรงกลั่น โรงปุ๋ย ปิโตรเคมี 2) อุตฯ กลางน้ำ อาทิ โรงกระดาษ ฯลฯ และ 3) อุตฯ ปลายน้ำ เช่น โรงผลิตยางรถยนต์ สิ่งทอ ไม้ อาหาร อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ แต่เบื้องหลังคือสหภาพพม่าไม่มีวัตถุดิบและไม่ได้มีความต้องการใช้สินค้าเหล่านี้จำนวนมาก ดังนั้นตลาดคือการผลิตและส่งสินค้าไปขายทั่วโลก และอนาคตก็ต้องมีการสร้างที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่เพื่อรองรับผู้ที่มาทำงานและเกิดการค้าตามมา
นี่คือความต่างที่ยิ่งใหญ่ เพราะไม่เหมือนการสร้างนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดหรือท่าเรือแหลมฉบัง การพัฒนาโครงการตอนนั้นใช้วิธีคำนวณว่า ในอนาคตประเทศไทยจะใช้สินค้า อาทิ พลาสติก เรซิ่น เท่าไหร่ แต่กรณีท่าเรือทวายจะตรงกันข้ามเพราะนิคมฯ ที่นี่จะผลิตเพื่อขายต่างประเทศ ขายตลาดทั้งโลก รวมถึงประเทศไทย
ลงทุน 5.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
โครงการนี้จะใช้งบฯ ลงทุนหลัก ๆ คือ 1) โครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ถนน ใช้งบประมาณ 8,000 ล้านเหรีญสหรัฐ 2) การลงทุนอุตฯ ขนาดใหญ่ที่อิตาเลี่ยนไทยจะหาผู้ร่วมทุน ได้แก่ โรงเหล็ก โรงไฟฟ้า โรงปุ๋ย และโรงปิโตรเคมี รวมกันใช้งบฯ อีกประมาณ 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะได้ข้อสรุป ผู้ร่วมทุนในแต่ละอุตสาหกรรมตั้งแต่ประมาณเดือนเมษายนนี้ โดยทั้งหมดจะต้องเกิดภายในปี 2558
ส่วนผู้ประกอบการคนไทยจะเป็นตัวเลือกแรกหรือไม่ ผู้บริหารโปรเจ็กต์ทวายระบุว่า...คนไทยก็ต้องรักคนไทย ให้คนไทยได้ประโยชน์
โดยขณะนี้อิตาเลี่ยนไทยจะลงทุนเองก่อน โครงการนี้แบ่งเป็น 2 เฟส เฟสแรก 5 ปี (2553-2558) เพื่อรองรับอาเซียน เปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ต้องรีบทำให้ทัน โรงงาน ต้องประกอบกิจการได้ มีไฟฟ้า ประปาใช้ ก็ต้องพัฒนา อ่างเก็บน้ำเองขนาด 150 ล้านคิวบิกเมตร ทำโรงไฟฟ้าเองขนาดประมาณ 4,000 เมกะวัตต์ ต้องสร้างถนนเองยาว 170 กิโลเมตร สร้างทางรถไฟเอง ขุดเจาะอุโมงค์ 22 แห่ง
เปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ
สำหรับการลงทุนในทวายอาจจะมีคนกล้าๆ กลัวๆ เรื่องความเสี่ยงการลงทุนและความปลอดภัย คำตอบคือโครงการ นี้ "ไฮริสก์ ไฮรีเทิร์น" (เสี่ยงสูงผลตอบแทนสูง) แต่พม่า จะเปิดให้ทวายเป็น "เขตเศรษฐกิจพิเศษ" ซึ่งซีเคียวหรือ ปลอดภัยต่อการลงทุน ล่าสุด ทางอิตาเลี่ยนไทยกำลังยกร่างรายละเอียดการเปิดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเสนอให้รัฐบาลพม่าพิจารณา
คืบหน้า ณ วันนี้ มีการระดมคนเข้าไปแล้ว มีท่าเรือรองรับการขนส่งวัสดุเครื่องมือก่อสร้างแล้ว ประมาณเดือนเมษายน-พฤษภาคมก็พร้อมจะพาไปดู เริ่มต้นจะมีคนเข้าไปทำงาน 60-70 คน แต่ถ้าทั้งโปรเจ็กต์ก็ต้องใช้คนงานเป็นแสนคน
ทางหลวงจ่อสร้างมอเตอร์เวย์ถึงกาญจน์
ในแง่การเดินทางจากโครงการท่าเรือทวายไปถึงชายแดน ฝั่งไทยที่ย่านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี ระยะทาง 160 กิโลเมตร จากย่านพุน้ำร้อน-เมืองกาญจนบุรี ระยะทาง 70 กิโลเมตร และจากจังหวัดกาญจนบุรีเข้ากรุงเทพฯ อีก 160 กิโลเมตร เบ็ดเสร็จรวมระยะทางจากทวายถึงกรุงเทพฯ ประมาณ 390 กิโลเมตร ถือว่าอยู่ในระยะที่ขนส่งได้
ล่าสุด "วีระ เรืองสุขศรีวงศ์" อธิบดีกรมทางหลวงมีโครงการก่อสร้างทาง "มอเตอร์เวย์" อยู่ในแผน เริ่มต้นจาก "บางใหญ่-นครปฐม-กาญจนบุรี" เป็นถนนฝั่งละ 2 เลน รวม 4 ช่องจราจร ระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร ซึ่งเป็น 1 ใน 4 เส้นทางโครงการมอเตอร์เวย์ที่อยู่ในแผนเสนอ ของบฯก่อสร้าง โดยอยู่ระหว่างการปรับแบบและทบทวนวงเงิน ค่าก่อสร้าง ซึ่งโครงการนี้น่าจะใช้งบฯ ลงทุนประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท
แน่นอนว่าโปรเจ็กต์ท่าเรือทวายก็จะได้รับอานิสงส์ทางอ้อมด้วย
หน้า 2