เชียงใหม่...บนเส้นทางสู่ฮับการบินภูมิภ&#
นาทีนี้ยากที่จะปฏิเสธได้ว่า ในบรรดาจังหวัดหัวเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีโครงการพัฒนาของรัฐบาลพุ่งเป้าลงมาในพื้นที่มากที่สุด โดยที่แต่ละโครงการล้วนเป็นโครงการระดับใหญ่ยักษ์ที่มีเงินลงทุนมหาศาลทั้งสิ้น ด้วยเป้าประสงค์ที่จะผลักดันให้เชียงใหม่เป็นเมืองที่มีความพร้อมสรรพในทุกเรื่อง เพื่อเตรียมพร้อมรองรับความเจริญเติบโต เป็นศูนย์กลางด้านต่างๆ ในภูมิภาค และประเทศเพื่อนบ้านในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ และสังคม ให้สมกับที่ถูกยกให้เป็นเมืองหลวงของภาคเหนือ และเป็นเมืองอันดับสองของประเทศรองจากกรุงเทพฯ เท่านั้น
"โครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่" เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาทั้งหมด โดยโครงการนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พ.ค.2544 ที่มีมติเห็นชอบในโครงการเร่งด่วนเพื่อพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งมีการมอบหมายให้กระทรวงคมมนาคมดำเนินการส่งเสริมให้เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางทางการบินไปยังจีนตอนใต้และตะวันตก โดยต่อมาในการประชุมยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว เมื่อวันที่ 6 ก.พ.2545 นายกรับมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมทำการศึกษาปัญหาอุปสรรคและกำหนดมาตรการส่งเสริมให้จังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งจังหวัดอื่นๆ ในภาคใต้และอีสาน เป็นศูนย์กลางทางการบิน(ฮับ)
จากผลการศึกษาความเป็นไปได้ ในการเป็นศูนย์กลางทางการบินของท่าอากาศยานภูมิภาคของคณะทำงาน พบว่า ในภาคเหนือเชียงใหม่เป็นจุดที่เหมาะสมมากที่สุด เนื่องจากมีจำนวนผู้โดยสารสูงสุด มีเครือข่ายเชื่อมโยงไปยังต่างประเทศอยู่แล้ว เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปท่องเที่ยว และตั้งอยู่ในบริเวณตอนกลางของภาคเหนือตอนบน ที่ทำให้เชื่อมโยงไปยังจุดอื่นๆ ได้สะดวก ขณะเดียวกันยังเป็นจุดที่มีธุรกิจการค้าหนาแน่นเหมาะสม ที่จะเป็นจุดเชื่อมต่อไปยังจุดต่างๆ ที่เป็น Secondary points ในประเทศใกล้เคียง และในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อส่งเสริมนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาการท่องเที่ยว
ทั้งนี้ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือ ทอท ได้กำหนดยุทธศาสตร์ไว้ในแผนพัฒนาที่จะส่งเสริมให้ท่าอากาศยานเชียงใหม่เป็นประตูทางผ่านหลักทางภาคเหนือเชื่อมโยงกับเมืองต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย เช่น คุนหมิง(จีน) ฮานอย(เวียดนาม) หลวงพระบาง(ลาว) มัณฑะเลย์(พม่า) รวมทั้งเมืองอื่นๆ ของอินเดีย บังกลาเทศ รวมทั้งกำหนดแนวทางในการที่จะเพิ่มปริมาณการขนส่งทางอากาศ ส่งเสริมให้มีเที่ยวบินแบบเช่าเหมาลำ ทั้งจากในภูมิภาคและต่างภูมิภาคมาลงที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ตลอดไปจนถึงการเชื่อมต่อระบบระหว่างโครงข่ายการขนส่งทางอากาศกับการขนส่งรูปแบบอื่นๆ
โดยที่จากการพิจารณาขีดความสามารถของสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ของท่าอากาศยานเชียงใหม่เปรียบเทียบกับความต้องการของปีพยากรณ์พบว่า ขีดความสามารถของท่าอากาศยานเชียงใหม่ไม่เพียงพอที่จะรองรับผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าในอนาคต จึงได้มีการกำหนดแผนที่จะต้องก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในเรื่องขีดความสามารถ และความสะดวกสบายของผู้โดยสารและผู้ใช้บริการ ซึ่งแบ่งแผนการดำเนินการเป็น 2 ระยะ คือ
ระยะแรก ระหว่างปีงบประมาณ 2546-2549 ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานให้รองรับการจราจรทางอากาศได้จนถึงปี พ.ศ.2552 ประกอบด้วย
1.งานปรับปรุงขยายอาคารผู้โดยสาร ได้แก่ งานปรับปรุงขยายห้องผู้โดยสารขาเข้า-ขาออกระหว่างประเทศ งานก่อสร้างปรับปรุงขยายทางเดินเชื่อมพร้อมสะพานเทียบเครื่องบินและ Bus Gate งานก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศหลังใหม่ งานปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิมเป็นอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ และงานปรับปรุงสภาพอาคารผู้โดยสารและสิ่งอำนวยความสะดวก
2.งานขยายความยาวทางวิ่ง ทางขับ ได้แก่ งานก่อสร้างทางวิ่งทางขับด้านทิศเหนือ(ภายในเขตกองทัพอากาศ) งานก่อสร้างขยายความยาวทางวิ่งด้านทิศใต้(ภายในเขต ทอท.) และงานก่อสร้าง Rapid Exit Taxiway
3.งานปรับปรุงขยายทางขับและลานจอดอากาศยาน ได้แก่ งานขยายลานจอดอากาศยานทางทิศใต้ และงานปรับปรุงขยายทางขับและลานจอดอากาศยาน
4.งานก่อสร้างระบบเติมน้ำมันอากาศยานทางท่อ
5.งานปรับปรุงขยายลานจอดรถยนต์
6.งานปรับปรุงขยายอาคารคลังสินค้า
ส่วนระยะที่สอง จะเป็นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและขยายสิ่งอำวยความสะดวกของท่าอากาศยานให้รองรับการจราจรทางอากาศได้จนถึงปี พ.ศ.2559 ซึ่งจะดำเนินการหลังปีงบประมาณ 2549
ปัจจุบันการดำเนินการตามแผนระยะแรกที่มีวงเงินงบประมาณตามแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 2,129 ล้านบาทได้เริ่มต้นขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว ในส่วนของงานปรับปรุงขยายอาคารผู้โดยสาร ที่ใช้งบประมาณ 114.1 ล้านบาท กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการตามสัญญาที่เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค.47 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 16 ส.ค.2547 ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาติดขัดใดๆ
ขณะที่งานขยายทางวิ่ง ทางขับ ที่จะมีการขยายระยะจากเดิม 3,100 เมตร เป็น 3,400 เมตร 3,600 เมตร หรือ 3,900 เมตรนั้น เวลานี้กำลังอยู่ระหว่างศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการ ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท เซาท์อีสเอเชียเทคโนโลยี จำกัด ที่เป็นบริษัทที่ปรึกษาที่ ทอทได้มอบหมายให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 150 วัน ตามสัญญา ที่เริ่มต้นสัญญาตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย.46 และสิ้นสุดสัญญาวันที่ 8 เม.ย.47 โดยที่ไม่นับรวมระยะเวลาที่ ทอท หรือส่วนราชการดำเนินการในการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งเมื่อวันที่ 21 ก.พ.2547 บริษัทที่ปรึกษาได้ทำการจัดเวทีชี้แจงทำความเข้าใจประชาชน เกี่ยวกับการขยายทางวิ่งของสนามบิน พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นในพื้นที่ 2 ตำบล คือ ตำบลแม่เหียะ และตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่
อย่างไรก็ตาม เสียงตอบรับในเบื้องต้นจากประชาชนในพื้นที่ทั้ง 2 ตำบล ที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการ ต่างเป็นไปในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ ต่างมีความเป็นห่วงกังวลถึงผลกระทบที่จะได้รับจากการขยายทางวิ่งเหมือนกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับจำนวนเที่ยวบินที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันที่มีเฉลี่ยวันละ 64 เที่ยวบิน เป็นกว่า 100 ถึง 200 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่งจะก่อความเดือดร้อน ในเรื่องของเสียงรบกวนจากการขึ้นลงของเครื่องบินเป็นอย่างมาก
จากที่ปัจจุบันประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง ต่างก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้เป็นประจำทุกวันและมากพออยู่แล้ว รวมทั้งการที่จะต้องมีการสร้างทางเบี่ยง หรือทางลอดบนถนนเชียงใหม่-หางดง และเวนคืนที่ดินเอกชนบางส่วน เพื่อปรับเขตความปลอดภัยในการเดินอากาศใหม่ด้วย ในกรณีที่จะต้องมีการขยายทางวิ่งไปทางทิศใต้ ซึ่งจากผลกระทบในเรื่องเหล่านี้กลุ่มประชาชนถึงกับเสนอว่าควรจะมีการคิดพิจารณาหาพื้นที่เพื่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่ได้แล้ว
โดยในส่วนของแนวคิดการสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่ เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางทางการบินนั้น นายการุณ คล้ายคลึง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสุเทพ กล่าวว่า ในระยะยาวแล้วประชาชนในพื้นที่ต้องการให้มีการย้ายท่าอากาศยานไปอยู่ในพื้นที่ใหม่ ที่ห่างไกลออกไปและไม่กระทบต่อชุมชน เพราะประชาชนต่างมีความเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยและเสียงดังจากเครื่องบินที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ขณะที่ชุมชนก็มีการขยายตัวหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับในกรณีที่จะต้องมีการสร้างทางลอด เนื่องจากการขยายทางวิ่ง นายวิเชียร เชิดชูตระกูลทอง รองประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท อิฐภราดร จำกัด ซึ่งมีที่ตั้งกิจการอยู่ในพื้นที่ตำบลแม่เหียะ เคยแสดงความเห็นว่า อาจจะส่งผลกระทบทำให้ราคาที่ดินในบริเวณดังกล่าวลดต่ำลงไปจากเดิมได้ถึง 10 เท่า และอาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในย่านดังกล่าวอย่างหนัก คล้ายกับกรณีการสร้างสะพานข้ามสี่แยกสนามบินที่ทำให้ร้านค้าธุรกิจในบริเวณนั้นต้องปิดกิจการไปเกือบทั้งหมด
ด้านเรืออากาศโทสุธารา ห่วงสุวรรณ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวยอมรับว่าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่เป็นโครงการใหญ่ อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบสร้างความเสียหายให้แก่คนส่วนใหญ่อย่างแน่นอน เพราะผ่านการกลั่นกรองพิจารณาของรัฐบาลมาเป็นอย่างดีแล้ว
ขณะที่ความคืบหน้าเกี่ยวกับการขยายทางวิ่งนั้น ขณะนี้ได้รับการอนุญาตจากกองทัพอากาศให้ใช้ที่ดินจำนวน 65 ไร่ในพื้นที่ของกองบิน 41 เชียงใหม่ เพื่อใช้ในการขยายทางวิ่งทางด้านเหนือของท่าอากาศยานเชียงใหม่ออกไปอีก 300 เมตร จากเดิมที่มีความยาว 3,100 เมตร เป็น 3,400 เมตร ส่วนนี้หากมีการดำเนินการไม่น่าจะมีปัญหาขัดข้องใดๆ
ส่วนการขยายทางวิ่งทางด้านใต้ ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะเพิ่มอีก 200 เมตร เป็น 3,600 เมตร หรือเพิ่มอีก 500 เมตร เป็น 3,900 เมตร ซึ่งขึ้นอยู่กับผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ตามที่กรมการขนส่งทางอากาศ ได้เคยทำการศึกษาพบว่าการขยายทางวิ่งเป็น 3,600 เมตร กับ 3,900 เมตร มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ตรงที่ความยาวทางวิ่ง 3,900 เมตร จะทำให้เครื่องบินสามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากกว่าทางวิ่ง 3,600 เมตร อีก 2 ตันเท่านั้น โดยที่หากขยายทางวิ่งเป็น 3,600 เมตร ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างลอดบนถนนเชียงใหม่-หางดง ที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาอีก
ส่วนความคืบหน้าอื่นๆ ของโครงการนี้ เมื่อช่วงกลางเดือนมี.ค. 2547 ได้มีการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ทั้งหมด เพื่อหารือว่าโครงการนี้จะส่งผลกระทบอย่างไร ต้องมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ติดตามมาอีกบ้าง และคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นขั้นตอนหนึ่งของการรวบรวมข้อมูลเพื่อเสนอให้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประชุมพิจารณาพร้อมกับผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ในการตัดสินใจว่าการขยายทางวิ่งควรจะเป็น 3,400 เมตร 3,600 เมตร หรือ 3,900 เมตร โดยการประชุมดังกล่าวคาดว่าจะมีขึ้นภายใน 6 เดือนนี้
เกี่ยวกับแนวคิดการหาพื้นที่สร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่นั้น ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวว่า เป็นการพิจารณาในระดับผู้บริหาร เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ส่วนโครงการพัฒนาที่ดำเนินการอยู่นี้เป็นไปตามความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งจะทำภายใต้ผลการศึกษาผลกระทบที่ครบถ้วนครอบคลุมทุกด้าน และประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดขึ้นกับสังคมส่วนรวม
ผลประกอบการท่าอากาศยานเชียงใหม่
ในปีงบประมาณ 2546 ท่าอากาศยานเชียงใหม่มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 70.03 ล้านบาท มีปริมาณอากาศยานพาณิชย์ขึ้น-ลง รวมจำนวน 15,774 เที่ยวบิน มีจำนวนผู้โดยสารผ่านท่าอากาศยานรวม 2,000,000 คน และปริมาณการขนถ่ายสินค้ารวม 24,885 ตัน โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2547 ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2546 ท่าอากาศยานเชียงใหม่มีปริมาณอากาศยานขึ้น-ลง รวมจำนวน 4,670 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากปี 2546 ร้อยละ 2.30 มีจำนวนผู้โดยสารรวม 655,484 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2546 ร้อยละ 8.99 และมีปริมาณการขนถ่ายสินค้ารวม 6,356 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2546 ร้อยละ 5.27
ปัจจุบันท่าอากาศยานเชียงใหม่ มีเที่ยวบินเฉลี่ย 64 เที่ยวบินต่อวัน โดยมีสายการบินที่ทำการบินเป็นประจำ จำนวน 9 สายการบิน แบ่งเป็นสายการบินในประเทศ 5 สายการบิน ประกอบด้วย 1.THAI AIRWAYS INTERNATIONAL PUBLIC CO.,LTD 2.BANGKOK AIRWAYS CO.,LTD 3.ORIENT THAI AIRLINES CO.,LTD 4.PHUKET AIRLINES CO.,LTD 5.THAI AIR ASIA CO.,LTD และสายการบินต่างประเทศ 4 สายการบิน ประกอบด้วย 1.SILK (SINGAPORE) PRIVATE LIMITED 2.LOA AVIATION 3.MANDALAY AIRWAYS CO.,LTD 4.MANDARIN AIRLINES CO.,LTD
ขณะที่ผลการดำเนินงานของท่าอากาศยาน ในปีงบประมาณ 2545 มีกำไรสุทธิ 70.89 ล้านบาท ปริมาณอากาศยานพาณิชย์ขึ้น-ลง จำนวน 16,183 เที่ยวบิน มีจำนวนผู้โดยสารรวม 2,078,923 คน และมีปริมาณการขนถ่ายสินค้าทางอากาศจำนวน 24,293 ตัน มีจำนวนเที่ยวบินเฉลี่ยวันละ 50 เที่ยวบิน โดยเวลานั้นมีสายการบินที่ทำการบินเป็นประจำ 7 สายการบิน ประกอบด้วย THAI AIRWAYS INTERNATIONAL PUBLIC COMPANY , BANGKOK AIRWAYS CO.,LTD. , SILK AIR , LAO AVIATION , AIR MANDALAY , MANDARIN AIRLINES และ AIR ANDAMAN.